วันที่ 1-7 มีนาคม 2558 ผมได้ร่วมเดินทางไปฝึกที่โรงฝึกบูจินกันประเทศญี่ปุ่นกับอาจารย์และเพื่อนร่วมโรงฝึกจาก ประเทศไทย ถึงแม้ผมจะเคยเดินทางไปมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้จะมีความพิเศษอยู่สักหน่อย เนื่องจากผมจะต้องเข้าสอบ สายดำระดับห้าด้วย อันที่จริงมีเรื่องที่น่าสนใจอยู่หลายๆเรื่อง แต่จะขอเล่าเรื่องหลักๆให้ฟังสัก 3 เรื่องนะครับ
ตอนที่ 1 Sakki Test กับฝีมือ
การสอบสายดำระดับ 5 หรือที่เรียกว่า Sakki Test ผู้เข้าสอบจะต้องนั่งคุกเข่าและหลับตาลง อาจารย์ผู้สอบจะถือ ดาบและยืนฟันผู้เข้าสอบจากด้านหลัง ผู้สอบจะต้องรู้สึกถึงแรงกดดัน และหลบดาบที่อาจารย์ฟันลงมาให้ได้ฟังดูแล้วเหมือน ในหนังเลยใช่ม้ัยครับ เมื่อก่อนผมก็คิดเช่นนั้นครับ
ผมได้ยินเรื่องของ Sakki มาตั้งแต่สมัยที่ผมฝึกอยู่ที่แคนนาดา อาจารย์ฝรั่งเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ตอนนั้นก็ยังคิดว่าโม้ๆขำๆ อยู่ พอกลับมาเมืองไทยอาจารย์เอกก็เล่าให้ฟังในทำนองเดียวกัน นั่งหลับตาและให้ “รู้สึก” เพราะถ้าฟังเสียงจะหลบไม่ทัน อา จารย์อิทก็เคยเล่าให้ฟังว่าเคย “รู้สึก” เหมือนโดนอาจารย์เอกผ่าสะพายแล่ง ตอนนั้นลึกๆในใจก็คิดว่า “เวอร์ไปนิดมั้ย” แต่ที่ เร่ิมมาเชื่อว่าเขาทำกันได้จริงๆ ก็คือตอนที่อาจารย์อิทไปญี่ปุ่นเพื่อสอบ Sakki Test ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อ.ชิราอิชิซ้อมให้หรือ ตอนที่สอบจริง ดูแล้วเค้าหลบได้จริงๆ และที่สำคัญคือเราสนิทกันและฝึกด้วยกันมานาน อ.อิท หลบได้แบบนี้แสดงว่าต้องจริง
แต่ตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะ “รู้สึก” ก่อนไปญี่ปุ่นคร้ังนี้อ.อิท ได้ช่วยซ้อม Sakki Test ให้หลาย แม้ว่าจะหลบได้ เป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังงงๆ ว่าเรา “รู้สึก” หรือเราได้ยินเสียงกันแน่ เพราะความรู้สึกกับเสียงมันใกล้กันมาก ไม่แน่ใจว่าได้ยิน แล้วจึงหลบ หรือว่าหลบแล้วถึงได้ยินเสียง สำหรับผมแล้วผมจะรู้อยู่แล้วว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังและพยายามจะฟันลงมา ผมจะ รู้สึกกดดัน เหมือนว่าอะไรกดลงมา บางทีก็รู้สึกอึดอัด คอตัน หูตัน (เหมือนตอนพยายามจะหาวนอน) ต้องกลั้นหายใจ ความ กดดันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งจุดหนึ่งก็ต้องม้วนหน้าเพื่อหลบดาบไป ตอนนี้แหละที่ยังไม่แน่ใจว่าที่เราไปเพราะได้ยิน เสียง หรือเพราะ “รู้สึก” กันแน่ พอมาถึงตอนที่อ.ชิราอิชิและอ.เอกฟันให้ที่ญี่ปุ่น ความรู้สึกกลับต่างออกไป เพราะรู้สึกตื่นเต้น และกดดันมาก จนไม่สามารถพยายามฟังเสียงได้ถ้ายังจะพยายามฟังเสียงอยู่มันจะทำให้เราเสียสมาธิจนหลบได้ช้าหรือหลบ ไม่ทัน
วันที่ผมเข้ารับการสอบมีผู้ร่วมฝึกเข้านั่งดูอยู่เต็มไปหมด ผมไม่ได้สอบเป็นคนแรก ต้องนั่งดูคนอื่นสอบก่อน ยิ่งดูก็ยิ่ง ตื่นเต้น ยิ่งคนข้างหน้าไม่ผ่าน ทั้งๆที่เราเองคิดว่าแบบนี้น่าจะผ่าน ทำให้ยิ่งกดดันหนักกว่าเดิม พอถึงคิวตัวเองผมรู้สึกตื่นเต้น อย่างแรง ได้แต่นั่งรวบรวมสมาธิไว้อยู่เหนือศรีษะ สักพักจะเริ่มรู้สึกว่ามีแรงกดดันลงมาแต่ไม่มากนัก คิดในใจว่า “ใช่มั้ยนะ? จะไปได้หรือยัง” เลยขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ไป กลับมานั่งรวบรวมสมาธิต่อ พอรู้ตัวอีกทีก็ “รู้สึก” ว่า “หลบไม่ทันแล้ว” ได้แต่กดคอลงแล้วม้วนหน้าหลบไปพร้อมกับความรู้สึกที่ว่า “สงสัยจะไม่ผ่าน” แต่พอเงยหน้าขึ้นมา อ.มาซาอากิก็บอก ว่า “OK” แปลว่าผ่านใช่มั้ยเนี่ย (ยังงงๆอยู่)
มาถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดว่า Sakki Test เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจในโลกของวิทยาศาสตร์มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก เข้าใจได้ยาก และเชื่อได้ยาก จนกว่าจะได้มาลองเอง ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ผมคิดว่ามันก็คงคล้ายกับความรู้สึกที่เราเดินไปที่ มืดๆ น่ากลัวๆ และเราอาจจะรู้สึกระแวงหรือกลัว ทันใดนั้นถ้าเกิดมีใครมาจับขาเรา เราก็จะสะดุ้งด้วยความตกใจ ความรู้สึก กลัวหรือระแวงก็จะคล้ายกับแรกกดดันตอนที่สอบ Sakki Test และการที่สะดุ้งเพราะถูกจับขาก็จะเหมือนจังหวะที่เราหลบไป นั่นแหละ มันเหมือนว่ามีเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างผลักเรา (ในทางจิตใจ) ทำให้เราต้องม้วนหลบไป
ถ้าถามว่าขั้น 5 แล้วเป็นอย่างไร มีอะไรเปลี่ยนแปลงหลังจากที่สอบผ่านแล้วมั้ย? เหมือนกับการที่ Level ขึ้นในเกมส์ หรือเปล่า? เลือดเพิ่มหรือเปล่า? ตีแรงขึ้นหรือเปล่า? สำหรับผมแล้ว “เปล่าเลยครับ” ในทางตรงกันข้ามกลับทำไม่ได้มากขึ้น ถ้าจะพูดให้ถูกคือทำให้เหมือนอาจารย์ไม่ได้ทั้งๆที่อาจารย์ก็ทำเหมือนเดิม แต่เราอาจจะเห็นมากขึ้น พอพยายามทำตามที่คิด ว่าจะทำกลับทำไม่ได้ตัวอย่างสิ่งที่เห็นก็ได้แก่ เช่นการถ่ายน้ำหนักระหว่างสองเท้าที่เคยเห็นว่าอาจารย์ทำครั้งเดียว ก็เริ่มเห็น ว่าอาจารย์มีการถ่ายน้ำหนักหลายครั้ง เริ่มเห็นว่าอาจารย์หมุนไหล่ก่อนจะหมุนตัว อาจารย์ยกมือขึ้นก่อนที่จะถ่ายน้ำหนัก และที่สำคัญอาจารย์ทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติพอเห็นก็ต้ังใจจะไปลองกับ อุเกะ แต่ปรากฎว่าทำไม่ได้อุเกะ ไม่เสีย บาลานซ์ทำให้รู้สึกว่า อุเกะ ตัวหนักอย่างกับหิน บางครั้งถ่ายนำ้หนักมากไปทำให้อุเกะ เสียบาลานซ์มาเกินไป ซึ่งต่างจากที่ อาจารย์ทำให้ผมเสียบาลานซ์เพียงเล็กน้อย เพียงแค่ยืนอยู่บนส้นเท้าเท่านั้น บางคร้ังก็พยายามก้าวเท้าตามอาจารย์แต่ก้าว กว้างไป ทำให้ยกขาอีกข้างหนึ่งไม่ขึ้น รายละเอียดเหล่านี้เมื่อรวมๆกันแล้ว มันทำให้ “ทำไม่ได้” ส่วนตอนที่ระดับต่ำกว่านี้อาจ จะรู้สึก “ทำได้” เพราะการทำไม่เหมือน หรือการใช้แรง มันง่ายกว่าส่ิงที่อาจารย์สอนนั่นเอง
นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงไม่ควรที่จะสอนคนอื่นในขณะที่เรากำลังฝึกอยู่ เราอาจจะมองเห็นบางอย่าง และ พยายามที่จะสอนคนที่เขามองเห็นมากกว่าเรา พอเห็นเขาทำไม่ได้เราก็พยายามจะสอน ทั้งๆที่สิ่งที่เราจะสอนมันไม่ครบ หรือ อาจจะไม่ถูกเลยด้วยซ้ำไป
สรุปแล้วการสอบ Sakki Test ไม่ได้เหมือนหนังจีนที่ทำให้เราเก่งขึ้นในช่วงข้ามวินาที Sakki Test เป็นเพียงการวัดว่า เราอยู่ระดับไหน วันจันทร์ที่ไปเรียนกับอ.ชิราอิชิก็ทำไม่ได้เรียนกับอ.มาซาอากิก็ทำไม่ได้สอบผ่านแล้วก็ยังทำไม่ได้ทั้งคลาส ของอ.ชิราอิชิและอ.มาซาอากิทำไม่ได้หมด Sakki Test ไม่ได้ทำให้เราเก่งขึ้น สิ่งที่จะทำให้ฝีมือเราดีขึ้น คือการฝึกอย่าง สม่ำเสมอ เราสามารถค่อยๆเก่งขึ้นได้ทีละน้อยๆ ได้ถ้าเราตั้งใจทุกคร้ังที่เข้าฝึก
ธีรวัฒน์ อิสสริยะกุล
สายดำระดับห้า
บูจินกัน บูโด ไทจุสสุ