ประสบการณ์สอบสายดำระดับห้าที่ญี่ปุ่น

Posted by

จากการที่ได้เดินทางไปฝึกและสอบที่ประเทศญี่ปุ่นได้พบเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี, วัฒนธรรม, ความมีระเบียบวินัย ความมีมารยาทของผู้คนและที่ขาดไม่ได้คือประสบการณ์จากการฝึกและการสอบที่ทำให้หลายคนลุ้นจนตัวเกร็ง

เริ่มจากการเดินทางครับ เมื่อถึงสนามบินนาริตะพอผ่านมาได้ก็รีบขึ้นรถไฟไปหาอาจารย์ตามที่ไดันัดหมายไว้จากนั้นก็ต่อรถไฟไปยังสถานี Minami Senju ปรากฏว่าต้องเดินไปที่พักอีก 650 เมตรครับ ลุยฝนเย็นเจี๊ยบยังกับน้ำในตู้เย็นพอถึงที่พักก็เปียกฉ่ำไปตามๆกัน หลังจากเช็คอินโรงแรมเรียบร้อย ก็ลุยฝนอีกรอบออกไปรับประทานอาหารเย็นกัน ขากลับก็ไม่ลืมที่จะแวะเซเว่นฯซื้ออาหารสำหรับมื้อเช้า จากนั้นเมื่อเข้าโรงแรมก็แยกย้ายกันพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวลุยต่อในวันรุ่งขึ้นและแล้ววันแรกก็ผ่านไป หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นชีวิตก็มีแต่เดินๆๆขึ้นรถไฟแล้วก็เดินๆๆ ครับ เข้าใจแล้วครับที่ อ.อิท บอก “ใครว่ามาสบาย”

แต่การเดินๆๆขึ้นรถไฟแล้วก็เดินๆๆนี่หละที่ทำให้มีโอกาสได้เห็นสิ่งน่าประทับใจหลายอย่างซึ่งมีความแปลกแตกต่างจากบ้านเรา อย่างแรกคือระบบรถไฟครับ เริ่มตั้งแต่ระบบอ่านชิปบนบัตรโดยสารสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมาก ถ้าคะเนด้วยความรู้สึกน่าจะใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งในสิบของบ้านเราเห็นจะได้ ซึ่งสามารถมองเห็นถึงศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วนได้อย่างชัดเจน ส่วนรถไฟที่ญี่ปุ่นเดินรถตรงตามตารางเวลาอย่างมาก ถึงเวลาปุ๊บมีสัญญาณไฟบอกรถไฟมาจอดตามเวลาเปะ (ไม่ต้องคอยชะเง้อมองเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราและก็กะเกณฑ์เวลาไม่ได้) ครั้นถึงเวลารถไฟมาก็จะมัวโอ้เอ้ไม่ได้นะครับ ปิดประตูฉับออกรถเลยอันนี้รับประกันเพราะตกรถขึ้นไม่ทันมาแล้ว

มาถึงสิ่งสำคัญซึ่งเป็นหัวใจของการเดินทางครั้งนี้การฝึกและการสอบ แต่ก่อนที่จะพูดถึงการฝึกและการสอบผมอยากพูดถึงการเดินทางไปฝึกครับ นอกจากข้ามน้ำข้ามทะเลไปกว่า 6000 กิโลแล้วระหว่างเดินทางไปโรงฝึกแต่ละที่นั้นก็ไม่ธรรมดาทั้งนั่งรถไฟไกล เปลี่ยนขบวนหลายสายเดินกันเป็นกิโล นี่ยังไม่ได้คิดถึงค่าใช่จ่ายในการเดินทางและการฝึก เข้าใจแล้วครับเวลาที่อาจารย์บ่นว่ามีพวกชอบมาถามว่ามีโรงฝึกใกล้ๆบ้านกว่านี้ไหมทั้งที่อยู่ใกล้โรงฝึกจนแทบจะชี้นิ้วถึง

มาถึงเรื่องการฝึกในการเดินทางมาครั้งนี้ได้เข้าฝึกในคลาส อ.มาซาอะกิ และคลาส อ.ชิราอิชิ ในคลาส อ.มาซาอะกิ บอกตามตรงครับว่าเหมือนมาดูซุปเปอร์สตาร์เก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ เพราะเวลาที่ฝึกมองอาจารย์ไม่ออกเลย เห็นแต่การเคลื่อนไหวเหมือนเดินปกติแต่ ราบรื่นและต่อเนื่องดูเป็นธรรมชาติ แต่เคลื่อนไหวแบบนี้ผมรู้สึกว่าดูยากมากครับเพราะไม่มีจุดสังเกตให้จำอะไรได้เลย ได้แค่ความรู้สึกว่าอาจารย์ทำประมาณนี้แล้วมาลองฝึกดู ส่วนในคลาส อ.ชิราอิชิ เหมือนจะดีขึ้นหน่อยครับยังพอมองเห็นลักษณะการเคลื่อนไหวบ้างเนื่องจากอาจารย์ตั้งใจ ทำช้าๆและซ้ำหลายๆรอบเพื่อให้เราเห็น แต่พอเมื่อได้เห็นก็ทำให้รู้ว่าที่ฝึกมาเกือบสิบปีนั้นยังอีกห่างไกล มียังมีอะไรๆอีกเยอะให้เรียนรู้

11024800_10152588272396784_6145364253505061745_n

มาถึงการสอบกันบ้างครับ ในวันนี้ได้เดินทางไปเข้าในฝึกคลาสของ อ.มาซาอะกิที่Ayase ที่จริงก็ตื่นเต้นอยู่พอสมควรเพราะรู้ว่าฝึกเสร็จจะต้องสอบ แต่แล้วระหว่างฝึกอยู่ ก็มีเสียงประกาศเรียกคนที่จะสอบขึ้นขั้น5ให้ออกมา จากนั้นก็วิ่งออกไปนั่งเรียงแถวผมอยู่เป็นคนที่สองถัดจากผู้ฝึกที่เป็นอเมริกันซึ่งนั่งอยู่หัวแถวเมื่อแอบหันไปมองก็รู้สึกว่าเขามีความมั่นใจมากคงต้องผ่านแน่นอน และเมื่อถึงเวลาสอบ อ. มาซาอะกิ ได้เรียกสายดำขั้น 15 ที่เป็นชาวอเมริกันออกมาเป็นคนสอบให้ปรากฏว่าฟันลงกลางหัวสองครั้งเลย!  และเมื่อถึงคิวผมต้องออกไปสอบ อ.มาซาอะกิก็เรียกให้ อ.เอกมาเป็นผู้สอบให้ หลังจากนั่งลงแล้วหลับตารู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่งเสียงรอบตัวเงียบกริบ หลังจาก อ.เอกยกดาบที่แตะอยู่บนศีรษะขึ้นก็รู้สึกถึงความกดดันที่แผ่เข้ามาทางด้านหลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจก็มีแรงกดดันมหาศาลเข้ามาจนรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้แล้วต้องม้วนหนีออกไป แต่ปรากฏว่าตัวแข็งครับม้วนไม่ออกได้แต่เบี่ยงตัวออกล้มไปด้านข้าง ซึ่ง อ.มาซาอะกิยืนคุมสอบอยู่ด้านหลังเลยทำให้ไม่แน่ใจว่ารู้สึกจริงหรือเปล่า จึงให้สอบใหม่อีกครั้ง แล้วการสอบครั้งที่ 2 ก็เป็นเช่นเดิมอีก เมื่อลืมตาขึ้นมาหันหน้าไปมอง อ.โนงุจิซึ่งยืนเป็นกรรมการอยู่ด้านข้างมีสีหน้าไม่แน่ใจซึ่ง อ.โนงุจิหันไปมองอ.มาซาอะกิ อ.มาซาอะกิก็เลยบอกให้คนถัดไปมาสอบก่อน

ระหว่างที่เดินกลับไปนั่งที่ก็มองไปที่เพื่อนที่รอสอบอีกสามคนแต่ละคนมีสีหน้าอึ้งกันไม่น้อย แต่เมื่อถึงเวลาสอบทุกคนสามารถทำได้อย่างดีสอบผ่านได้ในครั้งเดียว ระหว่างนั่งรอคนอื่นสอบ ก็คิดอยู่ว่าสงสัยคงต้องมาสอบใหม่คราวหลังแล้ว แต่หลังจากสอบไล่ไปจนครบคน อ.มาซาอะกิก็เรียกให้มาสอบใหม่ โอกาสมาแล้วเมื่อถึงคิวผมอีกครั้ง อ.มาซาอะกิก็ชี้เรียกให้ อ.เอกมาสอบให้อีกครั้งเมื่อนั่งลงก็จัดท่านั่งตามที่อาจารย์สอนไว้ สูดหายใจยาวๆแล้วบอกกับตัวเอง “ไม่ต้องคิดอะไรแค่รับความรู้สึก” หลังจากหลับตาลงโลกแห่งความเงียบกริบกลับมาอีกครั้ง อ.เอกเอาดาบมาแตะที่ศีรษะและเมื่อยกดาบขึ้นก็รับรู้ได้ถึงความกดดันที่เข้ามาทางด้านหลังอีกครั้งแต่ครั้งนี้ชัดกว่าสองครั้งแรกอีก และชั่วเสี้ยววินาทีความกดดันมหาศาลก็เข้ามาด้านหลัง เหมือนใจหล่นไปกองอยู่ที่พื้นเลยครับแต่ก็พยายามม้วนหลบออกไป ในความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับว่าถูกดาบผ่าตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงกลางหลัง และชั่วขณะที่อยู่ในภวังค์แห่งความเงียบนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “OK” และเมื่อลืมตาขึ้นโลกที่เป็นปกติก็กลับมาอีกครั้ง เฮ้อ…โล่งใจรอดแล้วครับ

จากการสอบที่ใช้เวลาไม่กี่วินาทีนี้สามารถให้ข้อพิสูจน์กับผมได้หลายอย่าง อย่างแรกคือความเชื่ออย่างสนิทใจในเรื่อง Sakki ว่ามีจริงครับ เพราะผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนทั้งสามครั้ง อย่างที่สองคืออุเคมินั้นสำคัญอย่างยิ่ง เป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าผู้ฝึกที่อุเคมิไม่ดีฝีมือจะไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร และการสอบขึ้นสายดำขั้นห้าก็เห็นได้อย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการม้วนหรือการรับความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้เข้าสอบต้องมี และถ้าไม่อยากมีประสบการณ์สอบแบบลุ้นตัวเกร็งแบบผมโปรดระลึกไว้ว่าอุเคมินั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด อย่างที่สามการให้ความใส่ใจในสิ่งที่อาจารย์สอนหรือบอกกล่าว ในกรณีการสอบครั้งนี้ของผมเห็นได้อย่างชัดเจน วันที่ซ้อมก่อนจะสอบอาจารย์ได้มาสอนและปรับท่านั่งของผมให้ใหม่เพื่อช่วยให้ม้วนได้ง่ายขึ้น แต่ในการสอบสองครั้งแรกอาจด้วยความตื่นเต้นหรือกังวลทำให้ไม่ได้นึกถึงสิ่งที่อาจารย์สอนไว้ผล ที่ได้ก็เป็นอย่างที่เล่าไปครับ

และแล้วการสอบที่ทำให้(คนอื่น)ต้องลุ้นจนตัวเกร็งก็ผ่านไปได้ แต่ความตื่นเต้นของผมในวันนี้ยังไม่จบ สิ่งที่ผมหวั่นใจที่สุดในการมาฝึกที่ญี่ปุ่นก็เกิดขึ้นจนได้ นั่นคือการถูกเรียกออกไปแสดงกลางห้องครับ ในช่วงท้ายของการฝึก ผู้ฝึกทุกคนไปนั่งริมห้องล้อมเป็นวงกลมและจะมีการสุ่มเรียกให้ผู้ฝึกออกไปแสดงกลางห้อง  เมื่อถึงเวลานั้นผมรีบนั่งลงโดยเลือกที่นั่งอยู่ด้านหลัง แล้วก็ได้ผลจริงๆครับผมไม่ถูกเรียก คนที่ถูกเรียกคือคุณเต้ซึ่งฝึกคู่กับผมครับ! แต่การออกไปแสดงกลางห้องก็ผ่านไปได้ด้วยดี และจากการที่ได้นั่งดูผู้ฝึกที่เป็นตัวแทนจากโรงฝึกอื่นออกไปแสดงก็รู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าไม่เพียงแต่ฝีมือเท่านั้นที่ถูกจับจ้องจากคนอื่น มารยาทและแนวคิดในการฝึกของแต่ละที่ได้สะท้อนออกมาจากการแสดงนั้นเอง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องถูกมองเปรียบเทียบกันอย่างแน่นอน ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้มองเห็นได้เลยว่า เป็นความโชคดีอันหนึ่งของโรงฝึกประเทศไทยที่อาจารย์ได้ปูทางในเรื่องแนวคิดในการฝึกและมารยาทไว้อย่างดี ซึ่งทำให้ผมไม่ต้องออกไปเป็นตัวประหลาดอยู่กลางห้องในวันนั้น และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อยืนยันในเรื่องนี้คือเห็นได้ชัดเจนว่าสมาชิกโรงฝึกประเทศไทยได้รับการต้อนรับจากอาจารย์และผู้ฝึกอาวุโสที่อยู่ในโรงฝึกที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างดีครับ

สุดท้ายเหนือสิ่งอื่นใดประสบการณ์อันมีค่าที่สุดที่ผมได้รับในการเดินทางครั้งนี้ คือความมีน้ำใจของสมาชิกในกลุ่มที่เดินทางไปด้วยกันครับ ทุกคนมีน้ำใจช่วยเหลือกันตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำต่างๆ การช่วยเหลือจากสมาชิกที่มีประสบการณ์อย่างการคอยประกบท้ายแถวไม่ให้ใครตกหล่นและแก้ปัญหาให้ตลอดการเดินทาง ความเอื้อเฟื้อสิ่งของต่างๆไม่ว่าจะอุปกรณ์กันหนาว ของใช้สอยต่างๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างเช่นใครถือของพะรุงพะรังสมาชิกคนอื่นจะเข้าไปช่วยเหลือทันทีโดยไม่รอช้า ซึ่งประสบการณ์แบบไม่ได้พบกันง่ายๆในชีวิตประจำวันและยากจะลืมได้ลง

นี่เป็นประสบการณ์เพียงเสี่ยวหนึ่งที่ได้สัมผัส ลองไปซักครั้งครับแล้วคุณอาจจะรู้สึกเหมือนผมจนต้องบอกกับตัวเองว่า “จะต้องกลับไปอีกให้ได้”

วิศิษฐ์ ชิตรัตน์
บูจินกัน บูโด ไทจุสึ
หัวหน้าโรงฝึก บูจินกัน สมุทรปราการ