เรื่องของระดับชั้น (Ranking)

Posted by

 

นี่คือความเห็นของผมเกี่ยวกับระดับสายในบูจินกัน

อาจารย์มะซะอะกิ อยู่เหนือแนวคิดเรื่องระดับสายที่ไร้ค่า ท่านได้พูดถึงเรื่องสายในแบบของกีฬา และ ศิลปะต่อสู้หลายครั้งในหลายปีที่ผ่านมา

ในบูจินกันมีมีแนวคิดที่เรียกว่า ซากิสุเคะ (Sakizuke) ซึ่งเป็นแนวทางที่ อ.มะซะอะกิ ได้รับสายสืบต่อมาจาก อ.ทะกะมะสึ ผมคิดว่า อ.มะซะอะกิให้ความเคารพ อ.ทะกะมะสึ และ ตัววิชาเป็นอย่างมาก ทำให้ท่านเข้าใจถึงสิ่งที่ อ.ทะกะมะสึ และตัววิชาต้องการจากท่านเป็นอย่างดี ท่านจึงได้ฝึกปรือหนักกว่าคนอื่นถึงสามเท่าตัว ปัญหาของคนรุ่นใหม่ (ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ) ก็คือ เราไม่เข้าใจถึงแก่น และ หัวใจของมันอย่างแท้จริง เราหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับเรื่องของการทำตามแบบอย่างของอาจารย์ และ การที่จะเข้าไปเป็นลูกศิษย์ เรากลัวที่จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป หรือเรียกอีกอย่างว่าเรามองว่าแนวคิดการเป็นอาจารย์และลูกศิษย์เป็นเรื่องของความเชื่อที่ล้าหลังทำให้เราปฏิเสธการมีอาจารย์ที่คอยดูแลเราในระยะเวลานาน การเป็นนักเรียนศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นมีทั้งความซับซ้อนและความเรียบง่ายอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเราจึงเห็นคนเพียงจำนวนน้อยที่จะรักษาสมดุลของร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ก่อนที่จะเข้ามาในโรงฝึกภายใต้การสั่งสอนของครูอาจารย์ มนุษย์นั้นมีอัตตามากเกินไป เรามีชีวิตอยู่ในยุคของ “ตำแหน่ง” ซึ่งเป็นยุคที่ความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นหาได้ยาก และผู้คนไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาสั่งให้ทำอะไร

อ.ทะกะมะสึได้ถ่ายทอดวิชาให้แก่ทุกคนที่สนใจในวิชาของท่าน สิ่งสำคัญในการสืบทอดวิชาของท่านคือ การเผยแพร่วิชาออกไปด้วยความหวังที่ว่า วันหนึ่งจะมีผู้นำวิชาไปสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา และท่านก็โชคดีเมื่อวันหนึ่ง อ.มะซะอะกิ ได้ผ่านเข้ามา และ กลายเป็นลูกศิษย์ของท่าน ผมเชื่อว่า อ.มะซะอะกิ กำลังทำสิ่งเดียวกัน ท่านกำลังถ่ายทอดความรู้ของท่านไปให้ทุกคนที่สนใจในวิชาของท่าน ท่านเคยกล่าวว่าท่านหวังว่าวันหนึ่งจะมีผู้ฝึกระดับสูงปรากฏตัวขึ้นมาจากเหล่าผู้ฝึกนับพัน ยิ่งวิชาถูกเผยแพร่ไปกว้างเท่าไรโอกาสที่วิชานี้จะอยู่รอดมากขึ้นเพื่อที่จะได้ปกป้องผู้คนบนโลกนี้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น

บูจินกันเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตมากกว่าองค์กร อ.มะซะอะกิ เป็นผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ บางเมล็ดก็ตายไป บางเมล็ดก็เติบโตขึ้นมาเป็นวัชพืชซึ่งถ้าไม่ตายเร็วกว่าเมล็ดอื่นก็จะสร้างความรำคาญให้สิ่งรอบข้าง แต่บางเมล็ดก็เติบใหญ่กลายเป็นต้นไม้เล็กๆ เป็นพุ่มไม้ เป็นดอกไม้ที่สวยงาม หรือ บางทีก็เป็นเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ละเมล็ดต่างเติบโตขึ้นในพื้นที่หนึ่งๆเป็นระยะเวลาช่วงนึง บางเมล็ดก็จะมีชีวิตยาวนานกว่าเมล็ดอื่น ๆ บางเมล็ดเรียนรู้ได้ดีและมีหัวใจตั้งอยู่ในทางที่ถูกต้องจึงอดทนต่อความยากลำบากได้จนสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ได้เรียนรู้ และส่งต่อให้เมล็ดพันธุ์อื่น ๆ ให้เป็นอนาคตต่อไป แต่บางเมล็ดพันธุ์ก็นิ่งอยู่กับที่ บางเมล็ดพันธุ์ก็เหี่ยวแห้งและตายไป นี่คือธรรมชาติ นี่คือบูจินกัน บูจินกันและธรรมชาติก็เหมือนกัน

ผมเชื่อว่า อ.มะซะอะกิ ไม่ได้พยายามที่จะควบคุมธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ท่านพยายามยอมรับและลื่นไหลไปกับธรรมชาติ (Shizen Gyoun Ryu Sui) การที่ท่านรวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติได้นับเป็นหนทางแห่งผู้นำที่ยิ่งใหญ่มาก อาจารย์ได้ปล่อยให้สิ่งที่จะเกิดขึ้นเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติ แน่นอนว่าเมื่อเราอยู่ในดินแดนของมนุษย์ บางครั้งมันต้องมีการแทรกแซงจากน้ำมือมนุษย์ อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่า อ. มะซะอะกิ ได้ปรับตัวเข้ากับความสมดุลของสามอาณาจักร คือ เท็น ฉิ จิน (สวรรค์ โลก และมนุษย์) โดยที่ท่านไม่ได้เอนเอียงเข้าไปอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ดังนั้นท่านจึงลอยตัวอยู่เหนือแนวคิดเรื่องระดับสายที่ไม่ได้มีค่าอะไร แนวคิดซึ่งพวกเราเหล่าลูกศิษย์ผู้ซึ่งยังไม่สามารถจะเข้าใจได้ ท่านปล่อยให้เราสนใจกับเรื่องพวกนี้จากในการฝึก การเรียน และ บทเรียนแห่งชีวิต แม้ว่าเรายังไม่เข้าใจมันก็ไม่เป็นไร อาจจะวันนึงเมื่อเราอายุเท่ากับท่านเราอาจจะเข้าใจได้ แค่ในวันนี้จงรักษาสุขภาพของตัวและฝึกฝนไป จนถึงวันที่คำสอนของท่านสุกงอม วันนั้นจะเป็นวันที่แนวคิดเรื่องระดับสาย ไม่มีอะไรมากไปมากกว่าการหว่านเมล็ดพันธุ์

อ.มะซะอะกิ เป็นเหมือนชาวนาผู้ซึ่งพยายามที่จะดูแลแปลงพืชให้เติบใหญ่ และช่วยผู้อื่นให้เติบโตและหาชีวิตของตัวเอง อย่างไรก็ตามท่านก็ยังอยู่ภายใต้พลังของธรรมชาติ จึงทำให้พืชบางส่วนอาจจะไม่รอดชีวิต หรือ อาจจะเติบโตได้ไม่ดีนัก พวกเราเปรียบเหมือนแค่เพียงข้าวที่กระจัดกระจายไปตามสายลมแห่งการต่อสู้ สายลมซึ่งมาทดสอบความมุ่งมั่นของพวกเราในฐานะที่เป็นนักศิลปะต่อสู้ที่กำลังเติบโต

บางคนอาจจะเข้าใจ บางคนอาจจะไม่เข้าใจ ในที่แห่งนี้คือพื้นที่ซึ่งเราจะค้นพบตัวเองและค้นพบสิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเติบใหญ่และมีชีวิตรอด

ระดับสายในบูจินกันมีพื้นฐานอยู่บนจิตใจ ซึ่งเป็นจิตใจแห่งความพยายามที่ไม่หยุดหย่อน เพียงแค่มีพรสวรรค์หรือเทคนิคนั้นไม่เพียงพอ เราจะต้องมี  Sainou Kon Ki (ความสามารถ จิตวิญญาณ และที่ว่างที่จะรองรับ) ในการเติบโต เพื่อที่จะเข้าถึงความรู้แจ้ง (Rokkon Shojou) ดังนั้นผมเชื่อว่าระดับชั้นจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความอดทนและมุ่งมั่นเป็นเวลาแรมปีถึงแม้ว่าผู้นั้นจะไม่ได้มีฝีมือที่สูงนัก ถ้าเขาพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน อาจารย์ก็มีความหวังว่าวันนึงเขาจะมีฝีมือที่ดีได้

อันที่จริงแล้วพวกเราก็เหมือนเป็นเด็กคนนึง มุมมองหนึ่งของผมเกี่ยวกับระดับชั้น ตามแนวคิดของการเรียนรู้ (Shu Ha Ri) ก็คือ

– Mu kyu : บิดามารดายังไม่ได้คิดจะมีเรา

– Shodan : สเปิร์ม

– Godan : แรกเกิด

– Judan : เริ่มเข้าวัยรุ่น

– Jugodan : เด็กอายุ 15 ปี (วัฒนธรรมซามูไรจากอดีตถือว่าเด็กอายุ 15 ปีเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถเลือกชีวิตเป็นของตนเองแล้ว)

– Shin Gi Tai Bufu Ikkan: เข้าใจความเป็นหนึ่งเดียวของวิญญาณ เทคนิค และร่างกาย จากการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหลายปี

– Yushu: ผู้ใหญ่ (ใช้ชีวิต สะสมประสบการณ์ และช่วยนำทางให้ผู้อื่น)

– Dai Shihan: ผู้ใหญ่เต็มตัว (มีประสบการณ์ ได้ทดลองสิ่งต่างๆและรอดชีวิตมาได้ ได้นำพาผู้คนใน Shin Gi Tai)

– Soke: กลับสู่ศูนย์

เหมือนในธรรมชาติทั่วไปที่มีทั้งปัญหา การแบ่งกลุ่ม การกลายพันธ์ โรคร้าย และอื่นๆ ที่มีในบูจินกันเช่นกัน หลายๆอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลที่น่าจะเกิดขึ้น และ ผลไม่ออกมาอย่างที่เราคิดว่าจะเกิด มันมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า บางอย่างที่ดำเนินอยู่โดยที่เราไม่รู้ เราคงจะคิดผิดแล้วถ้าเราคิดว่าจะควบคุมมันได้ ซึ่งนั่นคือเรื่องของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง เมื่อเราคิดว่ารู้แล้วแต่กลับไม่รู้ บางทีประโยคนี้อาจจะช่วยได้บ้าง

“ถ้าคุณคิดว่ามีอะไรบางอย่างมันจะไม่มี ถ้าคุณคิดว่าไม่มีอะไรมันจะมี”

โลกใบนี้และผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีพัฒนาการในกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นนิรันดร เกินกว่าความเข้าใจที่จะได้มาจากทั้งช่วงชีวิตของเรา ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องพัฒนาภาชนะที่จะรองรับ(utsuwa)ให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่คอยรับรู้ที่จะรับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามาทุก ๆ ครั้ง ผมเชื่อว่า อ.มะซะอะกิ มีภาชนะที่สามารถรองรับทุกสิ่งที่เข้ามาได้สูงมาก ดังนั้นท่านจึงเรียกตัวท่านเองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ท่านบินอยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงและบางครั้งท่านก็ลงจอดมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง และพาพวกเราบางคนขึ้นไปเพื่อเป็นแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการแสดงให้เห็นถึงผลของการฝึกจิตใจ ร่างกาย และวิญญาณ ที่ถูกต้อง

อ.มะซะอะกิ เคยกล่าวไว้ว่าโรงฝึกเหมือนกับสระว่ายน้ำ และผู้ฝึกก็เหมือนเด็กที่หัดว่ายน้ำอยู่ ถึงท่านเป็นผู้คอยช่วยชีวิตแต่ท่านไม่สามารถลงไปช่วยทุกคนที่จะจมน้ำได้ หากทำเช่นนั้นตัวท่านเองก็จะจมน้ำไปด้วย ท่านจึงคอยดูจากด้านหลังและเลือกช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นนักศิลปะการต่อสู้ที่จะอดทนและลอยน้ำอยู่ได้ด้วยตัวเอง ฟังดูแล้วใจร้ายแต่ธรรมชาติก็โหดร้ายเช่นนี้เหมือนกัน ถึงกระนั้นก็ตามการฝึกก็ยังสนุกถึงแม้เรากำลังจะจมน้ำอยู่ก็ตาม ดังนั้นการฝึกก็เหมือนแบบฝึกหัดให้เราได้เรียนรู้การมีชีวิตอยู่ ยอมรับความตาย และตายอย่างสง่างาม เหรียญมักมีสองด้านเสมอ

สำหรับผู้ที่เลื่อนระดับเร็วกว่าคนอื่นก็ถือเป็นการทดสอบทุกคน เป็นการทดสอบสำหรับผู้ที่ยอมรับไม่ได้ที่เห็นผู้อื่นได้เลื่อนระดับเร็วกว่าตน และเป็นการทดสอบสำหรับผู้ที่ได้รับการเลื่อนระดับด้วย หากพวกเขามองการเลื่อนระดับเพียงผิวเผินไปในทางวัตถุนิยมพวกเขาก็จะไม่มีการพัฒนาการและไม่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเลย พวกเขาอาจจะฝึกต่อไปแต่ความเข้าใจก็จะเข้าถึงได้เพียงผิวหน้าหรือลึกเท่าที่อัตตาจะเปิดทางให้ พวกเขาได้พ่ายแพ้ต่อความอยาก ต่อการขาดวุฒิภาวะ และ ใช้ข้ออ้างต่างๆของที่มีอยู่มากมายในโลกสมัยใหม่ ทางเดียวที่จะอยู่รอดได้ก็คือการวางตัวในสถานะที่ว่างเปล่าไม่ยึดติด (Kukan)

เราต้องรู้ไว้ด้วยว่า อ.มะซะอะกิ ยอมรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริง คนเหล่านี้มักจะได้รับการเลื่อนระดับเร็วด้วยความนับถือโดยไม่เกี่ยวกับฝีมือในโรงฝึก ท่านเคยกล่าวว่าคนเหล่านี้เคยผ่านสนามรบ และรอดชีวิตมาได้แสดงว่าพวกเขาเข้าใจถึงการต่อสู้ พวกเราควรเข้าใจว่า อ. มะซะอะกิ ไม่เคยผ่านสนามรบ อ.นะกะโตะ เคยกล่าวว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ อ.มะซะอะกิ รู้สึกว่าท่านไม่สามารถก้าวข้ามการถ่ายทอดความรู้สึกของ อ.ทะกะมะสึ ออกมาได้ เพราะท่านเองก็ยังไม่เคยฆ่าใคร ดังนั้นท่านรู้สึกให้การยอมรับผู้ที่มีคุณสมบัติ และมอบสายหรือตำแหน่งให้แก่ผู้นั้นด้วยความจริงใจ

ผลที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เราเห็นความสามารถที่หลากหลายในบูจินกัน ผู้ซึ่งไม่สามารถยอมรับเรื่องของระดับสายนั้นได้ ก็อาจก่อปัญหาหรือออกจากบูจินกันไป พวกเขาจะมีความคิดเรื่องระดับสายในแบบของเขาเองว่าระดับสายควรเป็นอย่างไร และพวกเขาจะไม่มองเห็นสิ่งที่ อ.มะซะอะกิ สอนได้ ถ้าคุณเป็นคนประเภทนี้มันจะเป็นการดีเสียกว่าหากคุณจะออกไปจากบูจินกันเสีย หรือไม่ก็จงเงียบและฝึกต่อไป

ประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาของ อ.มะซะอะกิ มันเป็นปัญหาของพวกเราเอง ถ้าเรายอมรับมันไม่ได้ เราก็ต้องหาทางปรับเปลี่ยนเพื่อทำให้อัตตาของเราสงบลง ถ้าเราเป็นลูกศิษย์ที่แท้จริง เราควรเรียนรู้ที่จะรับคำสอนของอาจารย์ ชีวิตของอาจารย์เป็นหลักฐานอย่างดี ดังนั้นอย่าเดินไปในทางที่คุณวางเอง จงเดินไปในเส้นทางการสืบทอดศิลปะการต่อสู้ที่ถูกวางรากฐานมาแล้วกว่า 2000 ปี อย่างที่ อ.มะซะอะกิ ได้เดินมา  ผมหวังว่าวันหนึ่งจะมีพวกเราที่พร้อมด้วยวุฒิภาวะจำนวนมากพอที่จะติดตามการสืบทอดวิชาของ อ.มะซะอะกิ ไปบนเส้นทางแห่งธรรมชาติ

ในแนวทางของบูจินกันนั้นยอมรับในธรรมชาติและความหลากหลายของชีวิตมนุษย์ และ ตระหนักถึงสิ่งที่ไหลผ่านอย่างเป็นธรรมชาติระหว่างสองสิ่งนั้น ได้แก่: “ความลับของไทจุสสุ ก็คือ ความเข้าใจถึงพื้นฐานของความสงบ การฝึกนั้นเพื่อที่จะเป็นแนวทางของหัวใจที่ไม่สั่นไหว (fudoshin)”

 

ตระหนักว่าความอดทนต้องมาเป็นอันดับแรก
ตระหนักว่าวิธีแห่งมนุษย์มาจากความถูกต้อง
ละทิ้ง ความโลภ ความขี้เกียจ และ ความดันทุรัง
ตระหนักว่าความเสียใจ ความกังวล และ ความขุ่นเคือง เป็นเรื่องธรรมชาติ และ ค้นหาจิตใจที่มั่นคง
ยึดมั่นบนแนวทางของความซื่อสัตย์ และความกตัญญู
และ มีสมดุลระหว่างปากกาและคมดาบ และ คนหาให้ลึกในหัวใจของศิลปะการต่อสู้
การปฏิบัติตามกฎเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของบทบัญญัติของโรงฝึก

Meiji 23 (1890) Spring, Toda Shinryuken Masamitsu
Showa 33 (1958) March, Takamatsu Toshitsugu Uou
Hatsumi Masaaki Byakuryu

เรื่องจาก Duncan Stewart

แปลและเรียบเรียงโดย

ธีรวัฒน์ อิสสริยะกุล
สายดำระดับห้า บูจินกัน บูโด ไทจุสสึ
บูจินกัน โอนิ โดโจ (หลักสี่)